โปรแกรมให้บริการ ติดตามสถานะพัสดุ เช็คพัสดุไปรษณีย์ไทย ลงทะเบียน EMS
เลือกบริษัทขนส่งพัสดุที่ท่านต้องการเช็ค
เช็คพัสดุไปรษณีย์ไทย / EMS
เช็คพัสดุ Flash Express
เช็คพัสดุ Kerry Express
เช็คพัสดุ SPX
เช็คพัสดุ DHL
เช็คพัสดุ J&T Express
[บริษัทขนส่งอื่นๆ ที่ไม่มีในนี้]
หากพูดถึงประกันภัยแล้ว หลายคนคงมีอาการเบื่อหน่ายหรือรู้สึกไม่อยากสนใจ ปล่อยผ่านเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยออกไป ทั้งที่ความจริงแล้วข้อมูลประกันภัยต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก
การทำประกันภัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นประกันอะไรก็ตาม คือการโอนหรือรับยกความเสี่ยงต่าง ๆ ในชีวิตเราให้แก่บริษัทประกันภัย แต่ก่อนที่เราจะเริ่มวางแผนการจัดการความเสี่ยงของตัวเราเองก่อนนั้น ต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่าประกันภัยมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ประกันภัยคืออะไร สำคัญอย่างไรบ้างและประกันภัยมีกี่ประเภท
ประกันภัย คือหนึ่งในทางเลือกสำหรับการบริหารและจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดกับชีวิต และทรัพย์สิน โดยการทำประกันนั้นจะเป็นการโอนความรับผิดชอบในเรื่องของความเสี่ยงของตัวเรา ให้แก่บริษัทประกันเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
โดยบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้ที่เก็บเบี้ยประกัน และชดเชยค่าสินไหม หรือรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ที่เอาประกัน โดยการทำประกันจะเป็นการตกลงระหว่าง 2 ฝ่าย คือฝ่ายแรกคือ ผู้รับประกัน (บริษัทประกันภัย) และฝ่ายที่สองคือ (ผู้เอาประกันภัย) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีข้อตกลงและรับผิดชอบร่วมกัน
โดยฝ่ายแรกคือผู้รับประกัน มีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้เอาประกัน ในกรณีที่มีการสูญเสียหรือเสียหาย ต่อผู้ที่เอาประกัน ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตามที่สัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ และในขณะเดียวกันผู้เอาประกันก็มีหน้าที่ในการจ่ายเบี้ยประกันให้ตรงตามกำหนดและครบถ้วน
เมื่อเรารู้แล้วว่าประกันคือตัวช่วยในการวางแผนชีวิตและบริหารความเสี่ยงแล้ว เรามาดูกันว่าประกันภัยมีกี่ประเภท
ประกันภัยตามหลักสากลแล้วแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ
1. ประกันภัยบุคคล (Insurance of the person)
เป็นการทำประกันต่อภัยที่อาจจะเกิดขึ้นและสร้างความเสียหายเดือดร้อนต่อบุคคลโดยแบ่งแยกย่อยตามนี้
1.1 ประกันชีวิต
โดยประกันชีวิตก็จะมีแยกย่อยแบ่งอีก 3 ประเภทด้วยกัน
- ประเภทสามัญ (Ordinary Life Insurance) เป็นลักษณะในการประกันชีวิตรายบุคคล มีวัตถุประสงค์ เพื่อคุ้มครองรายได้ จากกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิต การประกันชีวิตประเภทนี้ มีจำนวนเงินเอาประกันค่อนข้างสูง
- ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance) เป็นลักษณะเดียวกันกับประกันแบบแรก แต่เงินเอาประกันภัยไม่สูงมาก และประกันประเภทนี้ไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่จะมีระยะเวลารอคอย 180 วัน หากผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างรอคอย บริษัทจะไม่จ่าเงินชดเชยให้ แต่จะคืนเงินทั้งหมดแก้ผู้เอาประกัน
- ประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance) ประกันชีวิตประเภทกลุ่มหรือแบบหมู่ เป็นการทำประกันชีวิตหลายคน (ภายใต้กรมธรรม์เดียวกัน) โดยจะมีการพิจารณาความเสี่ยงของทุกคนในกลุ่มด้วยอัตราเฉลี่ย โดยส่วนมากจะเป็นการคุ้มครองชีวิตพนักงาน ไม่ว่าจะอยู่ในขณะปฏิบัติงานหรือไม่ก็ตาม
1.2 ประกันอุบัติเหตุ
เป็นการคุ้มครองต่อผู้เอาประกันภัย หากเกิดอุบัติเหตุที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องได้รับการรักษา ทางบริษัทประกันจะจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่เอาประกันด้วย และแบ่งออกเป็น 3 ประเภทเช่นกันได้แก่
- การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล จะเป็นการคุ้มรองอุบัติเหตุ ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรืออาจมีการพ่วงคนได้ครอบครัวได้ด้วย
- การประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม เป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง มีลักษณะการคิดเหมา แต่หากลูกจ้างคนใดไม่ได้อยู่ภายในองค์กรณ์นั้นแล้ว ก็ถือว่าหมดการคุ้มครองทันที
- การประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับนักเรียน เป็นประกันที่มีลักษณะคล้ายกันกับประเภทประกันกลุ่มอุบัติเหตุ แต่จะให้ความคุ้มครองสำหรับนักเรียนโรงเรียนนั้นๆ ที่ทำประกันไว้
1.3 การประกันสุขภาพ
การทำประกันภัยสุขภาพ บริษัทประกันจะจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ที่เอาประกันภัย ไม่ว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นจะเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยหรือว่าเกิดจากอุบัติเหตุก็ตาม และบางกรณีอาจมีการชดเชยการสูญเสียรายได้อีกด้วย
โดยประกันประเภทนี้ จะมี 2 ประเภทก็ คือ แบบแรกคือ การประกัยภัยสุขภาพส่วนบุคคล (เป็นการประกันสุขภาพเฉพาะคน ๆ เดียว) แบบที่สองจะเป็นประกันภัยสุขภาพแบบกลุ่มจะเป็นการประกันตั้งแต่บุคคล 2 คนขึ้นไปภายใต้กรมธรรม์ฉบับเดียวกัน ซึ่งประกันทั้ง 2 ประเภทนี้ให้ความคุ้มครองที่เหมือนกัน โดยจะมีการคุ้มครองหลักแบ่งได้เป็น 7 หมวดด้วยกัน ได้แก่
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
- ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการผ่าตัด
- ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากแพทย์มาดูแล
- ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษา คลินิกหรือผู้ป่วยนอก
- ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาฟัน
- ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการบริการจากพยาบาลพิเศษ
2. การประกันภัยทรัพย์สิน (Property Insurance)
เป็นการทำสัญญายินยอมของบริษัทรับประกัน ยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายต่อทรัพย์สินและคุ้มครองทรัพย์สิน ของผู้ที่เอาประกัน ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันไว้ โดยแบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
- การประกันอัคคีภัย
- ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง
- ประกันภัยรถยนต์
- ประกันภัยเบ็ดเตล็ด
3. การประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย (Liability Insurance)
เป็นการประกันภัยที่เกิดขึ้นจากผลของข้อกฎหมาย ที่เกิดจากการประมาทของผู้ที่เอาประกันภัย หรือลูกจ้าง คนในครอบครัว ที่ทำให้ผู้อื่น บาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือ เสียชีวิต หรืออาจเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ซึ่งแบ่งประเภทได้ ดังนี้
- ประกันภัยความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
- การประกันภัยความรับผิดจากผลิตภัณฑ์
- การประกันภัยความรับผิดจากวิชาชีพ
ทั้งหมดนี้คือประเภทหลักของการประกันภัยทั้งหมด และเราก็ได้รู้แล้วว่าประกันภัยมีกี่ประเภท เพื่อที่จะได้จัดการวางแผนชีวิตและรับมีกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดผลร้ายขึ้นกับเราได้ดี
เกี่ยวกับประกันรถยนต์ ประกันที่ทุกคนจำเป็นต้องมี
ประเภทของประกันภัยรถยนต์
มีประกันภัยรถยนต์หลายประเภทให้เลือก โดยแต่ละประเภทให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ประเภทที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- • ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) เป็นประกันภัยขั้นพื้นฐานที่ครอบคลุมความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
- • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุด รวมถึงความเสียหายต่อตัวรถ ความเสียหายต่อบุคคลภายนอก และการโจรกรรม
- • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองที่คล้ายกับประกันภัยชั้น 1 แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายต่อตัวรถในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด
- • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกและการโจรกรรม แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายต่อตัวรถ
- • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด และการโจรกรรม
- • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อบุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด
ความสำคัญของประกันภัยรถยนต์
ประกันภัยรถยนต์มีความสำคัญเนื่องจาก:
- • ปกป้องผู้ขับขี่จากความรับผิดชอบทางการเงิน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ประกันภัยรถยนต์จะช่วยชดใช้ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
- • ให้ความอุ่นใจ เมื่อผู้ขับขี่ทราบว่าตนได้รับความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างสบายใจมากขึ้น
- • เป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย ในประเทศไทย ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) เป็นข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน
การเลือกประกันภัยรถยนต์
เมื่อเลือกประกันภัยรถยนต์ ผู้ขับขี่ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- • ความคุ้มครองที่ต้องการ ประเมินความเสี่ยงและความต้องการของตนเองเพื่อเลือกประเภทประกันภัยที่เหมาะสม
- • เบี้ยประกันภัย เปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยจากบริษัทประกันภัยต่างๆ เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
- • บริการของบริษัทประกันภัย ตรวจสอบบริการของบริษัทประกันภัย เช่น การเคลมที่รวดเร็วและง่ายดาย
เลือกซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทไหนดี
1. Bangkok Insurance: มีชื่อเสียงมายาวนาน บริการรวดเร็ว และกระบวนการเคลมที่ใช้งานง่าย พวกเขามีบริการหลากหลายและมีโปรแกรมเชื่อมต่อกับอู่ซ่อมรถในท้องถิ่น ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับชาวต่างชาติ
2. Viriyah Insurance: โดดเด่นในเรื่องการดูแลลูกค้าที่แข็งแกร่ง เวลาตอบสนองที่รวดเร็ว และเจ้าหน้าที่เคลมภายในบริษัท พวกเขายังมีอะไหล่รถยนต์ให้กับลูกค้า โดยเน้นการรับประกันคุณภาพ
3. Tokio Marine Insurance
4. Aioi Bangkok Insurance:
5. Thanachart Insurance:
6. Direct Asia Insurance: ให้บริการประกันภัยราคาประหยัด พร้อมคำมั่นสัญญาที่จะไปถึงที่เกิดเหตุภายใน 30 นาที และมีเครือข่ายศูนย์ซ่อมรถยนต์พันธมิตรทั่วประเทศ
7. Tidlor Insurance: กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นใหม่ที่น่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ โดยมีระบบตรวจสอบเบี้ยประกันภัยรถยนต์ออนไลน์แบบทันที
8. Sunday Ins Co., Ltd.: ก่อตั้งขึ้นในปี 1947 มีประสบการณ์มากกว่า 70 ปี ให้บริการประกันภัยที่ไม่ใช่ชีวิตที่หลากหลายโดยยึดหลักการโลกาภิวัตน์
9. Roojai Co.,Ltd.- Silom Branch: ให้บริการประกันภัยรถยนต์หลายประเภทและมีเจ้าหน้าที่มืออาชีพ แต่บริการลูกค้าอาจไม่สม่ำเสมอ
สรุป
ประกันภัยรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน เนื่องจากช่วยปกป้องผู้ขับขี่จากความรับผิดชอบทางการเงินในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ควรเลือกประเภทประกันภัยที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองและเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยจากบริษัทประกันภัยต่างๆ เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
Discussion about this post